ไม้กวาด

วันนี้หลังจากที่ออกไปกินข้าวเที่ยงกับแม่
(ฉันทำงานในออฟฟิศของแม่)
พอเดินกลับมาก็เห็นคนแก่สามคน นั่งพักกันอยู่ใต้ต้นโพธิ์
ใต้ต้นโพธิ์ที่อยู่หน้าออฟฟิศตรงลานจอด ตรงนั้นไม่มีรั้วอะไรปิด ใครก็เลยเลยสามารถนั่งพักได้
วันนี้อากาศไม่ร้อน ไม่เย็น แต่มีลมพัดเบาๆ อากาศดีเลยทีเดียว

คนแก่สามคนนั้นเคยมานั่งพักแล้ว ฉันจำได้
ข้างๆ คนแก่กลุ่มนั้นมีไม้กวาดที่พวกเขาทำ แบกมาขายในกรุงเทพ 
หญิงแก่ทักแม่ ขณะที่เรากำลังเดินผ่านพวกเขา ก่อนเข้าประตูออฟฟิศ
"ช่วยซื้อหน่อยเถอะ อันนี้มันเย็บดี หนามาก ให้ราคาพิเศษ ลูกค้าเจ้าประจำ 80 บาท"
หญิงแก่เอ่ย

ฉันคิดว่าแม่เคยซื้อมาใช้สองสามครั้งแล้ว
แม่บอกหยิบกระเป๋าตังค์ขึ้นมาแล้ว บอกว่า
เอามา 4 อัน 320 บาท
ฉันถามแม่ว่า "ซื้อมาทำไม"
แม่ก็ตอบว่า "สำหรับโรงงานโรงเท้า" (แม่มีโรงงานผลิตรองเท้าเล็กๆ ไม่ไกลจากออฟฟิศ)

หญิงแก่หยิบมาไม้กวาดมา 5 อัน แล้วบอกว่า 5 อัน 400 บาท
แม่ก็บอกว่า มันมีค่าเท่ากัน
หญิงแก่ตอบไปว่า ช่วยซื้อหน่อย เจ็บบ่า จะได้เบาลง
แล้วแม่ก็ได้ไม้กวาดกลับมา 5 อัน

ชายแก่อีกคนพูดกับแม่ ตอนแม่ยืนเงินให้ว่า
"ทำไมไม่เอาไป 1000 บาทเลย เหมาเลย"
ฉันมองหน้าแม่่

จากเหตุการณ์นี้มองผิวเผินเหมือนไม่มีอะไรมาก
แม่ช่วยคนแก่ซื้อของเพราะความสงสาร แต่ไม้กวาดก็ได้ใช้งาน
เงิน 400 บาท ไม่ได้มากมายขนาดนั้น

แต่สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ
- มีหลายครั้งที่คนเราซื้อของเพราะใช้อารมณ์คือความสงสารมากกว่าเหตุผล

- สินค้าที่ราคาต่อหน่วยไม่แพงเกิน ทำให้คนซื้อไม่ต้องใช้เวลาในการตัดสินใจซื้อมาก 
(ไม้กวาดคือสินค้าที่มี Low involvement in buying decision)

- เมื่อมีการซื้อแล้ว มักจะมี Promotion ชักจูงให้ลูกค้าจ่ายเพิ่มมากกว่าที่ตัวเองนั้นต้องการเสมอ 
เช่น Pricing (แม่ค้าใช้ low price strategy)

- ระหว่าางการจ่ายเงิน แม่ถามเพิ่มเติมกับ คนแก่สามคนนั้นว่า มาบ่อยไหม มาจากจังหวัดอะไร
พวกเขาตอบว่ามากจากปราจีนบุรี

จังหวัดปราจีนบุรีตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศไทย อยู่ระหว่างละติจูดที่ 13 องศา 39 ลิปดา ถึงละติจูดที่
14 องศา 27 ลิปดาเหนือ และเส้นลองติจูดที่ 101 องศา 90 ลิปดา ถึงลองติจูดที่ 102 องศา 07 ลิปดาตะวันออก ห่างจาก กรุงเทพมหานคร 136 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 33 , 305 ใช้เวลาเดินทางเพียง 1.30 ชั่วโมง 
เป็นจุดเชื่อมโยง การคมนาคมจากกรุงเทพมหานคร ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศกัมพูชา 
ในรัศมี 100 กว่ากิโลเมตร

ขนาด    จังหวัดปราจีนบุรีมีพื้นที่ทั้งหมด 4,762.362 ตารางกิโลเมตร หรือ 2,976,475 ไร่
  อาณาเขต   มีอาณาเขตติดต่อดังนี้
- ทิศเหนือ ติดกับ จังหวัดนครราชสีมา
- ทิศตะวันออก ติดกับ จังหวัดสระแก้ว
- ทิศตะวันตก ติดกับ จังหวัดนครนายก
- ทิศใต้ ติดกับ จังหวัดฉะเชิงเทรา

source: http://www.prachinburi.go.th/location.htm

จังหวัดในภาคตะวันออกของประเทศไทย เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีการพบซากโบราณสถานในหลายพื้นที่ของจังหวัด นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติหลายแห่ง มีอุทยานแห่งชาติอยู่ในเขตมรดกโลกถึง 3 แห่ง ทั้งยังเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ป่ามากที่สุดในภาคตะวันออกอีกด้วย
แต่เดิมจังหวัดปราจีนบุรีมีพื้นที่กว้างใหญ่มาก เนื่องจากในอดีตเคยมีการยุบรวมจังหวัดนครนายกเข้ากับจังหวัดปราจีนบุรีในปี พ.ศ. 2485 เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณในสภาวะที่เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำระหว่างสงคราม [4] ต่อมาในปีพ.ศ. 2489 จึงมีพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดนครนายกขึ้นอีกครั้ง[5] อย่างไรก็ตามพื้นที่ของจังหวัดปราจีนบุรีก็ยังคงมีความกว้างใหญ่ ทำให้เกิดปัญหาในการปกครองและให้บริการประชาชนเนื่องจากบางอำเภออยู่ห่างไกลจากตัวจังหวัดมาก จึงได้มีการตราพระราชบัญญัติฯ ให้แยกบางอำเภอทางด้านทิศตะวันออกของจังหวัดปราจีนบุรีแล้วรวมกันจัดตั้งเป็นจังหวัดสระแก้ว ในปีพ.ศ. 2536 จนถึงปัจจุบัน
ปัจจุบัน จังหวัดปราจีนบุรีได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นหัวเมืองรองในด้านเศรษฐกิจที่สำคัญของภูมิภาค มีการลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้เกิดนิคมอุตสาหกรรมเกิดขึ้นใหม่มากมาย ทำให้ภาพรวมในจังหวัดดีขึ้น 
รายได้ต่อปีต่อหัวของประชากร เฉลี่ย 340,000 -380,000 อยู่ในอันดับ 6 ของประเทศไทย 
ตัวเลขไม่เลว ถ้าเทียบกับจังหวัดอื่น

พวกเขาบอกว่า ปกติรับจ้าง มีรถมารับเมื่อไม่มีงานรับจ้างแบบเหมาที่บ้าน
พวกเขาเลยต้องเข้ามากรุงเทพเพื่อขายไม้กวาด

ดูจากข้อมูลแล้ว เป็นจังหวัดที่ไม่น่าจะลำบาก เพราะการคมนาคมดี 
แต่ทำไมการกระจายของงาน มีการว่างงานยังมี?
ทั้งๆที่การคมนาคมมี

นั่นแสดงให้เห็นว่า การกระจายรายได้ 
และการใช้แรงงานของประเทศไทย ยังไม่เป็นระบบสมบูรณ์
ทุกอย่างยังคงเข้าสู่ศูนย์กลาง ( centralization )

เราเลยเข้านั่ง งง ที่โต๊ะทำงาน พร้อมคำถามในหัวที่ยังคงสงสัยต่อว่า

ทำไมพวกเขาต้องเขามาลำบากเดินขายไม้กวาด ?
มันน่าจะมีงานที่ดีและได้เงิน คุ้มค่ากับแรงที่ลงไปมากกว่านี้ ?

แต่ทุกบ้านก็ใช้ไม้กวาด มันก็น่าจะมี Demands มากพอ

ฉันเชื่อว่า คุณที่กำลังอ่านอยู่ก็ต้องเคยเห็นคนแก่ที่ดูเหนื่อยล้าจากต่างจังหวัด
เข้ามาขายของในเมืองในสถานที่ๆเราไป 
พวกเขาทนร้อน ทนแบกของกัน
ฉันรู้สึกสงสาร และอยากให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น
แต่ถ้าให้เอาเงินทั้งเดือนมาเหมาสินค้าที่เขาขาย คงจะเป็นไปไม่ได้
การช่วยเหลือผู้อื่น ต้องอยู่ในที่ตั้งของความพอดีและไม่เบียดเบียนตนเอง
.
.
.

สุดท้ายแล้ว ถ้าเขียนแบบนี้ เหมือนจะไม่มีข้อสรุป
แต่ในฐานะของคนๆหนึ่งที่อยากเห็นคนอื่นมีชีวิตที่ดีขึ้น

ฉันคิดว่าา ระบบการกระจายรายได้ อุตสาหกรรมไทย 
ต้องกระจายออกไปต่าจังหวัดที่ไม่ใช่แค่ กทม หรือ อยุธยา หรือชลบุรี หรือระยองเท่านั้น
มันต้องขยายออกไป พร้อมการพัฒนาของระบบคมนาคม ถนนหนทางทุกจังหวังมันต้องดีขึ้น
เพื่อที่นายทุนจะได้ไม่ต้องมาบ่น มาโทษว่า ให้ไปไกลก็เปลืองเงิน เปลืองต้นทุนเปล่าๆ

แต่โดยรวมมันคือการยกระดับของเศษรฐกิจในภาพรวม ไม่ใช่แค่ใน กทม กระจุกกันอยู่ตรงนี้

เซ็งที่เกิดมาเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาในชนชั้นกลางคนนึง ที่รู้สึกว่ามีปัญหา 
แต่ไม่รู้จะแก้ยังไง

เห้อ...